Dohome To

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 ก.ย.2564) ราคาหุ้นบริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ปิดตลาดอยู่ที่ ระดับ 24.00 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 3.90 % โดยทำจุดสูงสุดที่ 24.30 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 23.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 315.33 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (29 ก.ย. 2564) โดยคาดว่ากำไรสุทธิของ DOHOME ในไตรมาส 3 ปี 2564 จะอยู่ที่ 480 ล้นบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 156% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 20% จากไตรมาสก่อน ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 1.60 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 218% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) คิดเป็น 88% ของประมาณการกำไรปีนี้ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายจะอยู่ที่ 5.80 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกันของปีก่อนและ ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน จาก SSSG ที่เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น 12% และ สาขาใหม่ Size L สองร้าน และสาขาร้าน Dohome To ใหม่สี่ร้าน (เทียบ ไตรมาส 3 ปี 2563) SSSG ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 จะอยู่ที่ 19.40% ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานในปีนี้ของนักวิเคราะห์ที่ 12% ขณะที่คาคว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 21.60% (เพิ่มขึ้น 4.80 ppts จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1.10 ppts จากไตรมาสก่อน) อัตรากำไรขั้นต้นโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน มาจากราคาเหล็กที่ปรับตัวขึ้น (ดัชนีราคาเหล็กเพิ่มขึ้น 36% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน) ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นหดตัว จากไตรมาสก่อน เป็นผลจาก product mix เพราะมีการปิดสาขาร้านชั่วคราว (5 สาขา Size L (จาก 14 สาขา) และ 7 สาขา Dohome To Go (จาก 12 สาขา) ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 22.00% (เพิ่มขึ้น 6.40 ppls จากงวดเดียวกันของปีก่อน) ซึ่งดีกว่าสมมติฐานปีนี้ที่ 21.40% อย่างไรก็ดีแม้ว่าอัตรากำไรจะมีแนวโน้มลดลงในครึ่งปีหลังของปี 2564 เพราะราคาเหล็กทรงตัว (รวมอยู่ในประมาณการแล้ว) โดยนักวิเคราะห์มองว่า DOHOME น่าจะยังรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นเอาไว้ใด้ในระดับสูงจากกลยุทธ์การขายสินค้า house brand และ product mix ที่ดีขึ้นจากการขยายสาขาร้าน (Size L ซึ่งตามปกติจะมีอัตรากำไรขั้นต้นดีกว่า Size XL) โดยได้ปรับสมมติฐานใหม่ และปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 - 2565 ขึ้นอีกประมาณ 8% กำไรสุทธิของ DOHOME จะโตอย่างมีนัยสำคัญถึง 147% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2564 ก่อนที่จะกลับมาโตในระดับปกติที่ 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2565 ทั้งนี้ได้ de-rate PER จาก 38.00 เท่า เหลือ 36.00 เท่า เพื่อสะท้อนถึงอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงสุดแล้ว และ รวมผลการจัดสรรหุ้นใหม่ 75.50 ล้านหุ้นให้กับนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง(private placement) ที่ราคา 26.25 บาท/หุ้น ทั้งนี้นักวิเคราะห์ยังคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ 34.00 บาท อิงจาก PER ที่ 36.00 เท่า จากแนวโน้มที่สดใสในไตรมาส 4 ปี 2564 และปี 2565 ในขณะที่ราคาหุ้นยังมี upside ถึงราคาเป้าหมายอีกถึง 47.2% ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"