MTC

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่า บริษัทยังมั่นใจว่าผลงานจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องถึงปี 2563 โดยคาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่ในปีนี้จะเติบโต 40% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ขณะที่ในปี 2562 และ 2563 จะเติบโต 35% จากการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในทุกๆปี ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาบริษัทมีสาขาทั้งหมด 2,811 สาขา เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้นระยะเวลาที่เหลือของปีจะขยายจำนวนสาขาที่จะเปิดใหม่อีกจำนวน 300 สาขา รวมเป็นจำนวนสาขาสิ้นปีนี้จำนวน 3,000 สาขา โดยมั่นใจว่ายอดปล่อยสินเชื่อต่อสาขาไม่ลดลง สำหรับแผนการเดินทางไปโรดโชว์ต่างประเทศ ในไตรมาสแรกได้เดินทางไปโรดโชว์ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้รับความสนใจ และการตอบรับจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นอย่างมาก ขณะที่ในไตรมาส 2 บริษัทมีแผนไปพบนักลงทุนต่างประเทศร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ที่ประเทศฮ่องกง และบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ที่ประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ในไตรมาส 3 บริษัทมีแผนที่จะไปพบนักลงทุนต่างประเทศร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ดอยซ์ ทิสโก้ จำกัด และ DBS Vickers Securities (Thailand) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และในไตรมาส 4 มีแผนที่จะไปพบนักลงทุนต่างประเทศรวมกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนดอยซ์ ทิสโก้ จำกัด ที่ประเทศสิงคโปร์ ส่วน พ.ร.บ.การกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินนอกกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น มีความชัดเจนมากขึ้น และเชื่อว่าบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบ โดยไม่ได้จำกัดดอกเบี้ยไว้ที่ 15% ตามที่นักลงทุนกังวล แต่ให้คิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ และเมื่อมีการบังคับใช้จะส่งผลดีกับทุกฝ่าย โดยเฉพะการดูแลการให้บริการทางการเงินมีคุณภาพมากขึ้นด้วย ด้านการปรับมาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 นั้น ขณะนี้บริษัทมีความพร้อมที่จะปรับใช้ตามเกณฑ์ในปี 2562 เนื่องจากบริษัทได้ทำการปรับบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานใหม่เรียบร้อย ขณะที่บริษัทได้ตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพียงพอกับมาตรฐานดังกล่าวอยู่แล้ว สำหรับประเด็นที่มีกระแสข่าวว่า บริษัทปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าขนาดใหญ่ และ SME นั้น บริษัทชี้แจงว่าไม่ได้ปล่อยสินเชื่อ SME แต่เน้นปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าส่วนบุคคลรายย่อย ซึ่งมีจำนวน 1.3 ล้านคน และปล่อยเฉลี่ยรายละ 20,000 บาท และมีจำนวนเล็กน้อยไม่เกิน 50 ราย ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาจะไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานแต่อย่างใด