Pi Financial

นายณัฐพล จันทร์สิวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ร่วม) บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บล.พาย ยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการและนวัตกรรมการลงทุนอย่างต่อเนื่องภายใต้แบรนด์ “พาย” ส่งผลให้ยอดเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 40% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ด้วยการเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีรายได้สูงสุดในตลาด TFEX อีกทั้งได้เปิดตัวบริการ Pi MT4 อย่างเป็นทางการ เพื่อช่วยยกระดับประสบการณ์การซื้อขายอนุพันธ์ด้วย Innovative Trading ที่เสริมเครื่องมือให้แก่นักลงทุนและช่วยต่อยอดความมั่งคั่ง ขณะเดียวกัน แอปพลิเคชัน “Pi Financial” ที่เปิดตัวไปในปี 2567 มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 140,000 ครั้ง โดยถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้หลากหลายประเภทภายในแพลตฟอร์มเดียว ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการเงินดิจิทัลของบล.พาย ส่วนธุรกิจ Pi Private Wealth ซึ่งเปิดตัวในปี 2567 เพื่อตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การดูแล (AUA) เติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับปี 2568 บล.พาย วางกลยุทธ์ขยายผลิตภัณฑ์การลงทุนให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเปิดตัว Pi DR03 ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหลักทรัพย์ต่างประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันบล.พายนำเสนอ DR แล้ว 4 รายการ ได้แก่ WORLD03 เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีระดับบลูชิพ 10 อันดับแรกของโลก JAP03 รวบรวมหุ้นบริษัทญี่ปุ่นชั้นนำที่มีศักยภาพเติบโตระดับโลก GOLD03 ลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงเพื่อรักษามูลค่าเงินในภาวะเงินเฟ้อ OIL03 DR ตัวแรกของตลาดที่อ้างอิงราคาน้ำมัน นอกจากนี้ บล.พายยังเดินหน้าพัฒนา Pi MT5 ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยลงทุนในหุ้นไทยด้วย Innovative Trading โดยมีแผนขยายให้ครอบคลุมการซื้อขายอนุพันธ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ขณะที่แอปพลิเคชัน Pi Financial ก็ยังคงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความสะดวก ความรวดเร็ว เสถียรภาพ และความปลอดภัย สำหรับปี 2568 บล.พายยังเตรียมเปิดตัวบริการ Investment Advisory โดยมีนายกวี ชูกิจเกษม ซึ่งมีประสบการณ์ในธุรกิจการเงินมากกว่า 30 ปี ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่สายการบริหารพอร์ตการลงทุน โดยบริการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนและเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่ผันผวน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนพัฒนาโปรดักซ์ด้านการบริหารพอร์ตการลงทุนในปี 2568 โดยให้ความสำคัญกับ VALUE AVERAGING PORTFOLIO, VALUE INVESTMENT PORTFOLIO และ ASSET ALLOCATION PORTFOLIO ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนตามเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ปีนี้ตลาดการลงทุนมีความผันผวนสูงและเผชิญกับปัจจัยกดดันหลายด้าน นายกวีกล่าวว่า เศรษฐกิจอาจไม่เติบโตตามที่รัฐบาลคาดหวัง และดัชนีมีโอกาสหลุดระดับ 1,200 จุดหากมีปัจจัยลบเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในปีหน้า ดังนั้น นักลงทุนควรเลือกหุ้นที่มีคุณภาพ (Quality) เช่น กลุ่มสุขภาพ (Health Care), กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มโลจิสติกส์, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธนาคาร โดยในสถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนควรถือหุ้นเพียง 30% และถือเงินสด 70% แต่หากดอกเบี้ยลดลงจนถึงระดับต่ำสุด และดัชนีแตะ 1,000 จุด ควรเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นและลดเงินสดลงเพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุน