SANKO เทิร์นอะราวด์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ซังโกะ ไดคาซติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SANKO ณ เวลา 10.53 น. อยู่ที่ระดับ 1.87 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 23.03% สูงสุดที่ระดับ 1.97 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.54 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 164.26 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้น SANKO ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงวันนี้ คาดนักลงทุนเข้าเก็งกำไร คาดหวังผลประกอบการในปี 2564 เทิร์นอะราวด์จากปีก่อนมีผลขาดทุน 35.42 ล้านบาท ด้าน นายรัฐวัฒน์ ศุขสายชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SANKO เปิดเผยว่า คาดทิศทางผลประกอบการปีนี้จะเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของ SANKO และน่าจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ทำให้ทั้งปี 2564 มั่นใจผลงานจะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้อย่างชัดเจน ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/2564 บริษัทพลิกมีกำไร 3.93 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนขาดทุน 19.98 ล้านบาท หรือมีกำไรเป็น 23.91 ล้านบาท หรือ 119.66% และทำให้งวดครึ่งปีแรก 2564 บริษัทพลิกมีกำไร 6.55 ล้านบาท และมียอดขาย 319.31 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมียอดขายที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2563 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และยังส่งผลทำให้ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ในช่วงเดียวกันกับปีก่อนลดลงเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามแม้ในปัจจุบันโควิด-19 ยังคงมีอยู่ แต่บริษัทยังได้รับออเดอร์จากลูกค้าตามปกติ และยอดขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาวัตถุดิบปรับราคาตามตลาดสูงขึ้น ขณะที่ค่าแรงงานและค่าเสื่อมราคาของเครื่องจักรที่ชะลอการผลิต ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในไตรมาส 2/2564 เพิ่มขึ้นเป็น 15.40% ทั้งนี้หากสถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะกลับไปสู่ระดับ 20% ใกล้เคียงกับปี 2562 อย่างไรก็ตามแม้ราคาวัตถุดิบจะมีการปรับราคาสูงขึ้นตามราคาตลาด บริษัทจะปรับราคาขายเพิ่ม เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมกันนี้บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2564 ขณะที่ทิศทางครึ่งปีหลัง 2564 คาดการส่งมอบสินค้าจะดำเนินการได้ปกติ หากไม่มีปัจจัยลบรุนแรงกดดัน โดยบริษัทมียอดออเดอร์รอส่งมอบที่ 300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะเร่งผลิตและส่งมอบให้ลูกค้าตามกำหนด อีกทั้งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อรับออเดอร์ใหม่ ซึ่งจะเป็นงานผลิตสินค้าในปี 2565 คาดจะชัดเจน และเห็นทิศทางออเดอร์ภายในไตรมาส 4/2564 เบื้องต้นบริษัทจะรักษาฐานออเดอร์แต่ละปีให้อยู่ที่ประมาณ 500-600 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยบริษัทจะพยายามคุมต้นทุนการผลิตให้ลดลง โดยการผลิตให้มีของเสียให้น้อยที่สุด ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาทอ่อน บริษัทจะได้รับผลดีบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากสัดส่วนส่งออกมีอยู่เพียง 7-8% เท่านั้น ส่วนภาพรวมยอดขายทั้งปี 2564 บริษัทมั่นใจจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 600 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรก 2564 สามารถทำได้ตามแผน สำหรับสัดส่วนลูกค้าหลักปีนี้ คาดจะมาจากกลุ่มยานยนต์ประมาณ 80-90% และกลุ่มอื่นๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าประมาณ 10%