WealthManagement

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พร้อมให้การสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืนผ่าน Thai ESGX ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ที่เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของตลาดทุนไทย โดยมาตรการดังกล่าวกำหนดให้มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับเงินลงทุนใหม่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) รวมถึงการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไปยัง Thai ESGX ภายในช่วงระยะเวลา 2 เดือน ภายใต้เงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด ซึ่ง ก.ล.ต. จะออกหลักเกณฑ์รองรับการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวต่อไป นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ก.ล.ต. จะเสนอให้คณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.) พิจารณาหลักการจัดตั้งและการบริหารจัดการกองทุน Thai ESGX พร้อมเร่งดำเนินการออกประกาศที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุนดังกล่าวได้ภายในเดือนเมษายน 2568 ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมการลงทุนผ่าน Thai ESGX นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศโดยใช้กองทุนรวมเป็นกลไกหลักแล้ว ยังสนับสนุนการออมระยะยาวผ่านการลงทุนในตลาดทุน ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติด้านความยั่งยืน สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX จะได้รับการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมจากกองทุน Thai ESG ปกติที่ให้สิทธิ์ลดหย่อนสูงสุด 300,000 บาท โดยในปี 2568 หากลงทุนเพิ่มในกองทุน Thai ESGX (วงลดหย่อน 1) จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุดอีก 300,000 บาท นอกจากนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุน LTF ที่ถือครองอยู่ ณ ปัจจุบัน สามารถสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมดไปยังกองทุน Thai ESGX และได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมสูงสุดอีก 300,000 บาท (วงลดหย่อน 2) โดยสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ปีละ 50,000 บาท เป็นระยะเวลา 4 ปี ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด อย่างไรก็ตาม หากมีการขายหน่วยลงทุน LTF หลังจากวันที่ ครม. มีมติ จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในวงลดหย่อน 2 ได้ “ก.ล.ต. ขอให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากมาตรการทางภาษีที่รัฐสนับสนุน” เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว